Thailand English
 
Thailand English

 

 

Review : Olympus PEN-F กล้อง Mirrorless หัวใจวินเทจสุดหล่อ

Olympus PEN-F กล้องที่หน้าตาโดดเด่น สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ย้อนไปเมื่อปี 2016 ครบรอบ 80 ปี ของบริษัท Olympus ทางบริษัทเลยตั้งใจรีเมคกล้องขายดีที่มีชื่อว่า Olympus PEN-F กล้องฟิล์มในตำนานปี ค.ศ.1963 ขึ้นมาเป็นกล้องที่เปลี่ยนเลนส์ได้หรือ Mirrorless นั่นเอง แต่ยังคงหน้าตากับสไตล์ย้อนยุคไว้ วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับกล้องรุ่นนี้ว่ามีลูกเล่นอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ

 

คุณสมบัติ/ Features:

  • เซ็นเซอร์ Live MOS ขนาด Micro Four Third ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล

  • กันสั่น 5 แกน

  • ชิปประมวลผล TruePic VII  ให้ภาพคมชัด

  • ช่องมองภาพแบบ OLED ความละเอียด 2.36 ล้านจุด ให้มุมมองแบบ 100%

  • ถ่ายภาพด้วยความเร็วต่อเนื่องสูงสุด 10 เฟรม/วินาที

  • แป้นหมุน Creative Dial ด้านหน้าตัวกล้อง

  • หน้าจอทัชสกรีน 3 นิ้ว หมุนได้ทุกองศา เซลฟี่ได้  แสดงผลที่ 1.04 จุด

  • โหมด 50M High-Res Shot ให้ภาพถ่ายความละเอียดสูงถึง 50 ล้านพิกเซล

  • สปีดชัตเตอร์เร็วสูงสุดที่ 1/8000 วินาที แบบ Mechanical shutter หรือชัตเตอร์กลไก และ 1/16,000 วินาที ด้วย Electronic Shutter หรือชัตเตอร์ไฟฟ้า

  • บันทึกวิดีโอแบบ Full HD   

 

ตัวกล้อง / Design

ตัวกล้องทำจากวัสดุแมกนีเซี่ยมอัลลอยด์ครับผม บอดี้มีความวินเทจสุดๆ ออกแบบมาคล้ายกล้องฟิล์ม ให้ความคลาสสิค ถ้าเป็นสายชื่นชอบกล้องฟิล์มแนะนำรุ่นนี้เลยจริงๆ เพราะปุ่มต่างๆบนตัวบอดี้มีวิธีการเปิดปิดแบบวินเทจมากๆ

 

 

เริ่มจากด้านบนของตัวกล้องก่อนเลยครับ ด้านซ้ายคือสวิตซ์ปิดเปิดกล้อง ถัดมาเป็น Hot Shoe ไว้เสียบแฟลชแยกครับ เพราะไม่มีแฟลชติดเครื่อง แต่จะมี Flash แยกมาให้  Dial ด้านขวาใช้เปลี่ยนโหมดต่างๆ สามารถตั้งค่าล็อกได้ในโหมด C1-C4 นะครับ (เนื่องจาก Olympus ให้โหมดรุ่นนี้มาแบบไม่อั้นและคอนโทรล

ได้แบบเต็มที่ เลยต้องทำเผื่อให้ถึง 4 ช่องเลยครับ เดี๋ยวไม่พอเล่น 5555) และ Dial ตรงกลางไว้ล็อกโหมด จะได้ไม่เผลอเลื่อนแล้วเปลี่ยนโหมดกะทันหัน ชัตเตอร์ก็มาเหมือนกล้องฟิล์มแบบ Soft Press เสียงชัตเตอร์ก็ยังเหมือนฟิล์มอีก ถัดมาข้างๆเป็นปุ่มถ่ายวิดีโอสีแดงครับ ที่สำคัญเลยยิ่งบอดี้วินเทจแบบนี้ การชดเชยแสงก็คล้ายกับกล้องฟิล์มเช่นกัน มีDial ที่ปรับได้ ถึง ±3 เลย จึงปรับ Under หรือ Over ได้ทันใจเต็มที่กันไปเลย   

 

 

ถึง Olympus PEN-F จะคล้ายกับกล้องฟิล์มมาก แต่ยังแฝงความทันสมัยแบบดิจิทัลเอาไว้ เอาใจสาวๆ ด้วยหน้าจอหมุนได้ทุกองศา เอาไว้ถ่าย V-Log หรือ Selfie ได้สบายๆเลยครับ แถมหน้าจอยังเป็นทัชสกรีนอีกด้วย เราสามารถโฟกัสได้สะดวกโดยการสัมผัสหน้าจอ กล้องหล่อแถมยังใช้งานง่าย สบายไปอีก

 

 

เมื่อหมุนปิดหน้าจอตามภาพด้านบน จะช่วยป้องกันหน้าจอขีดข่วนได้ เหมาะสำหรับสายลุยครับ มาดูด้านหลังของตัวกล้องกันบ้าง มีปุ่ม Menu สามารถปรับค่า ISO ตั้ง Timer แฟลช ปุ่ม Playback ปุ่มลบภาพ และปุ่มแว่นขยายซึ่งไว้ใช้ขยายภาพเวลาโฟกัสครับ สำหรับคนที่รีบถ่ายภาพจริงๆ ปรับเล่นมันส์มือกับปุ่มฟังก์ชั่น Fn2 และ Fn3  (ปุ่ม Fn3 อยู่ด้านขวาบนสุดครับ) และวงล้อ Zoom ให้ใช้ตรงด้านเดียวกับปุ่ม Shutter ครับ Viewfinder หรือช่องมองภาพถือว่าใช้ได้ดีทีเดียว มี Eyecup หรือยางรองตามาให้ และปุ่มปรับระดับสายตาด้านข้างเลย เราสามารถเซ็ต Viewfinder ให้เป็นแสดงภาพที่ 60fps หรือ 25fps ได้นะครับ จะได้ไม่มึนงงมาก



Olympus PEN-F มีกันสั่น 5 แกน ซึ่งชดเชยได้ถึง 5step ทำให้สามารถถ่ายในที่แสงน้อยโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องก็ได้ครับ

 

F1.8,1/250sec, ISO600 Olympus PEN-F กับการถ่ายคอนเสิร์ต ต่อให้ตัวแบบมีการเคลื่อนที่เร็วๆ  ก็จับโฟกัสได้แม่นยำ

 

ลูกเล่นสำคัญของกล้องรุ่นนี้ที่ขาดไม่ได้จริงๆ เลยคือ  Creative Dial  ด้านหน้าตัวกล้อง ถือเป็นไฮไลต์เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ Color Profile Dial หรือแป้นหมุนเลือกสีภาพกับโปรไฟล์ของภาพนั่นเองครับ

 

 

ที่แป้นมี CRT, ART, COLOUR และ MONO ส่วนตรงกลางเป็นโหมดปกติครับ เนื่องจากอยากให้เข้ากับอารมณ์กล้องฟิลม์ รูปทั้งหมดที่ถ่ายเป็นอัตราส่วน 1:1 นะครับ มาดูกันครับว่าปรับค่าแต่ละอย่างแล้วจะมีผลต่อภาพอย่างไร

 

MONO - โหมดนี้ก็คือ Monochrome หรือโหมดภาพขาวดำนั่นเองครับ ถือว่าเป็นโหมดที่ชอบที่สุดในรุ่นนี้เลยจริงๆ เพราะเราสามารถเซ็ตเฉดขาวดำให้ตรงตามที่เราต้องการ จะไม่หนัก Contrast ลด Brightness ลงก็ได้ ปรับได้ตามใจชอบเลยครับ และสามารถทำให้มีโทนสี Sepia ก็ได้นะครับ

 

 

2. ART - ก็คือโหมด Art Filter เหมาะกับสาย Creative เพราะมีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้มากมาย ให้เล่นและดัดแปลงเยอะมากครับ ไม่ว่าจะ Sketch แบบรูปวาด หรือ Vibrance with Blur คือโทนญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่ชอบแต่งภาพกันครับ ซึ่งถ่ายแล้วจบหลังกล้องได้เลย จะเบลอๆหน่อยก็ได้ สว่างนิดๆก็ดี ไหนๆ แล้ว Olympus PEN-F ก็เป็นลุคฟิล์ม อยากลองใช้ Film Stimulation กับอัตราส่วนแบบ 1:1 สไตล์ Medium Format หรือ Instagram ก็สามารถเซ็ตทิ้งไว้ได้เลยครับ ผลลัพธ์ก็ไม่ผิดหวัง สวยตามคาดจริงๆ

 

 

3. CRT - มาจากคำว่า Creative โหมดนี้สามารถนำวงล้อสีที่สองมาปรับได้อีก เพื่อให้ได้สีที่ต้องการ เช่น อยากจะให้ภาพมีสีน้ำตาลเพิ่ม ก็สามารถเลือกได้เลยครับ (เหมือน Tone curve ใน Lightroom เพียงแต่สามารถแต่งบนกล้องได้เลย)

 

1/5000sec, F1.8, ISO 300 สามารถเปลี่ยนโทนสีให้ลงตัวกับโต๊ะที่วางกาแฟอยู่ได้เลยครับ

 

สำหรับการถ่ายถือว่าเป็นกล้องที่มีความแม่นยำอยู่มาก ใช้งานง่ายไม่ลำบาก กริปอาจจะต้องถือสองมือนะครับ แบตเตอรี่ใช้งานได้ที่ 330 รูป Olympus PEN-F รองรับ WiFi จึงสามารถส่งรูปผ่าน WiFI เและแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ตโฟนได้ครับ

 

ผมนำเลนส์ Olympus M.Zuiko 25mm f1.8  และ Olympus M.Zuiko Digital ED 75mm f/1.8

มาถ่าย Street และ Portrait ซึ่งต้องบอกเลยว่าถ่ายสนุกมากครับ สามารถเล่นได้หลายแบบ หลายสไตล์ ส่วนตัวชอบนำเฟรมแบบภาพยนตร์ 16:9 และ 1:1 ควบคู่กับใช้โหมด Mono และ Art ถ่ายสนุกมากจริงๆ กล้องมีน้ำหนักเบามาก พกพาสะดวก แสงไม่เบิร์นหรือโอเวอร์เกินไป

ใช้งานง่ายกับปุ่มชดเชยแสง วิดีโอถ่ายได้ที่ 60fps กับภาพ 1080p ครับ อยากถ่ายวิดีโอเล่นๆ สวยๆ Vlog ดีๆก็มีให้พร้อมเลยครับ

 

 

 

สรุปได้ว่า Olympus PEN-F กล้องคลาสิคที่รีเมคจากปี ค.ศ.1963 พัฒนามาได้ยอดเยี่ยมสมชื่อต้นฉบับรุ่นคุณปู่จริงๆครับ เป็นกล้องที่ถ่าย Street ,Portrait และใช้ถ่ายในชีวิตประจำวันได้ดีจริงๆ นอกจากบอดี้จะหล่อแล้ว ยังเป็นกล้องที่อัดแน่นด้วยลูกเล่นและประสิทธิภาพมากมาย เพียบพร้อมให้คนรักกล้องทุกเพศทุกวัยจริงๆ ใครสนใจอยากได้กล้องที่สามารถเล่นกับการสร้างสรรค์ภาพได้อย่างเต็มที่ ผมขอแนะนำ Olympus PEN-F ครับ

 

 

Back to top