ในแต่ละวันเรามักเจอแสงและสภาพอากาศที่แตกต่างกัน เพราะการถ่ายภาพมีแสงเป็นองค์ประกอบที่ท้าทายและสำคัญมากสำหรับช่างภาพ outdoor เช่นเดียวกับสภาพอากาศ
ดังนั้นในบทความนี้จะมีคำตอบว่า หากเจอสภาพแสงและสภาพอากาศที่แตกต่างกัน จะรับมือกับมันอย่างไร และถ่ายช่วงเวลาไหน ภาพจึงออกมาสวยงาม
-
Blue Hour ช่วงเช้า
ภาพถ่ายเมือง Dublin ที่เห็นว่าเป็นช่วงกลางคืน จริงๆ แล้วถ่ายตอนเช้าต่างหาก! หลายคนมักถ่าย blue hour กันแค่ตอนเย็น และลืมไปว่ามีช่วงเช้าก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ส่วนระยะเวลาก็ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ท้องฟ้าช่วงนี้จะเป็นสีน้ำเงินเข้มชวนหลงใหล และเมื่อได้มันเป็นฉากหลังก็ยิ่งทำให้ภาพถ่ายดึงดูดสายตา
blue hour คือช่วงเวลาที่เหมาะกับถ่ายภาพ โดยเฉพาะบรรยากาศเมืองที่ยังมีแสงไฟ เนื่องจากมี ambient light มาก จึงทำให้เห็นรายละเอียดต่างๆ ในภาพได้ครบ โดยไม่ต้องใช้ ISO สูง ๆ เลย แต่หากถ่ายตอนกลางคืนอาจพบปัญหาเรื่องการวัดแสงได้
ไปชมตัวอย่างภาพถ่ายช่วง blue hour ตอนเช้ากันดีกว่า
(ภาพด้านบน ถ่ายที่สะพาน Ha’penny หนึ่งในแลนด์มาร์คที่น่าจดจำของ Dublin)
(ภาพด้านบนถ่ายที่ The Custom House ใน Dublin สังเกตด้านขวามือของภาพ ท้องฟ้ามีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ที่อยู่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้าและยังไม่ปรากฎให้เห็น)
(ภาพด้านบน ถ่ายที่ St Mark’s Square ปกตินักท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าจะเดินไปเดินมาตลอดทั้งวัน แต่หากไปถ่ายภาพช่วงเช้าประมาณ 6 โมง จะได้ภาพที่ไม่ติดผู้คน เพราะงั้นการตื่นเช้าก็นับว่าคุ้มค่าทีเดียว!!)
2. ช่วงรุ่งอรุณ
รุ่งอรุณเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับช่างภาพที่ชื่นชอบการถ่ายภาพธรรมชาติ คือก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น หลัง blue hour ส่วนมากเวลานี้จะมีแสงสว่างจางๆ และมีความ dramatic สูง
(ภาพด้านบน ถ่ายใกล้มหาวิทยาลัย Maynooth ที่ Kildare ท้องฟ้ามีสีสันสวยงาม สีส้มปนสีชมพู และ
สามารถถ่ายต้นไม้เป็น silhouette)
(ภาพ Ha’penny Bridge ถ่าย 20 นาทีหลังเกิด Blue hour ดวงอาทิตย์ยังอยู่ต่ำกว่าเส้นขอบฟ้าตอนถ่ายภาพ ก้อนเมฆด้านบนจึงเป็นสีชมพูปนสีฟ้า)
3. Golden hour ช่วงเช้า
ช่างภาพส่วนใหญ่จะรู้ว่าการถ่ายภาพช่วง Golden hour ให้ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก เป็นช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ขึ้นและก่อนดวงอาทิตย์ตก ทำให้มีแสงธรรมชาติสีทองอาบไล้ทั่วภาพถ่าย จึงมีความสวยงามและความโดดเด่นเพิ่มขึ้น
ภาพด้านบน ถ่ายด้านหลัง Notre Dame Cathedral กรุงปารีส ซึ่งแสงสีทองอาบไล้ทั่วทั้งฉาก แต่พอดวงอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว จะเสียโทนสีอบอุ่น กลายเป็นแสงแข็งแทน
ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิก็เป็นฤดูที่ดีในการถ่าย Landscape ซึ่งแสงสีทองจะช่วยให้ใบไม้มีโทนสีอบอุ่น ภาพด้านบนถ่ายที่ Rye Water ใน Maynooth
4. ช่วงเช้าที่มีหมอก
การฟังพยากรณ์อากาศจะช่วยเพิ่มโอกาสในการถ่ายภาพได้ เช่น ได้เพิ่มหมอกตอนเช้าเข้าไป ก็จะทำให้ภาพมีความ dramatic เพิ่มขึ้น หมอกสามารถทำให้องค์ประกอบของฉากหลังในภาพเป็นสีจาง ๆ โดยปกติทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็นเป็นเวลาดีในการเพิ่มหมอกเข้าไปในภาพ
ภาพด้านบน ถ่าย Groenerei Canal ที่ Bruges สะพานหินที่ฉากหน้ามีความ contrast อย่างมากกับอาคารจาง ๆ ที่ฉากหลัง ซึ่งเต็มไปด้วยหมอก
5. แสงแดดสดใส
คงเคยได้ยินว่าไม่ควรออกไปถ่ายภาพช่วงเที่ยงวัน เพราะการถ่ายภาพตอนกลางวันที่ดวงอาทิตยขึ้นสูงบนท้องฟ้า แสงจะแข็งและเงาสั้นกว่าถ่ายภาพในตอนเช้าและตอนเย็น พูดง่าย ๆ ก็คือไม่ใช่เวลาที่ดีในการออกไปถ่ายภาพข้างนอก แต่ก็มีวิธีทำให้ได้ภาพถ่ายสวย ๆ อยู่เหมือนกัน
วันที่แสงแดดแรง การเปลี่ยนภาพถ่ายสีให้เป็นภาพถ่ายขาวดำ จะมีความ contrast มาก ๆ และภาพถ่ายสวยงามขึ้น ภาพด้านบนถ่ายที่ Paris จะเห็นว่าก้อนเมฆสีขาวนั้นมีความโดดเด่นตัดกับท้องฟ้า ช่วยสร้างอารมณ์ drama ในภาพ
ฤดูหนาวคือช่วงเวลาที่แสนวิเศษในการถ่ายภาพให้น่าสนใจตอนกลางวัน เพราะดวงอาทิตย์จะอยู่ต่ำบนท้องฟ้าตลอดทั้งวัน ทำให้มีเงายาวกว่า และถ่ายย้อนแสงได้น่าสนใจ
ภาพด้านบนถ่ายช่วงฤดูหนาว ตอนช่วงสาย ๆ หลัง Golden hour แล้ว ซึ่งในช่วงเวลานี้ของฤดูอื่น ๆ สภาพแสงที่ดีจะหมดแล้ว แต่เนื่องจากเป็นหน้าหนาว ดวงอาทิตย์อยู่ต่ำมาก และเงาของต้นไม้ทอดยาวลงมาในฉาก
การถ่าย Long exposure หรือใช้สปีดชัตเตอร์ช้า ๆ เป็นสิ่งที่ควรลองทำในวันที่แสงแดดสดใส ภาพด้านบน ใช้ฟิลเตอร์ ND 10 stop ทำให้ใช้สปีดชัตเตอร์ช้า ๆ 24 วินาที ระหว่างที่ถ่ายก้อนเมฆเคลื่อนผ่าน จึงเก็บภาพ motion blur ได้ด้วย
ป่าไม้ก็เป็นตัวแบบที่โดดเด่นได้ในวันที่แสงแดดสดใส ตัวอย่างภาพด้านบน แสงอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านต้นไม้ ทำให้ภาพน่าสนใจ
วันที่อากาศและท้องฟ้าแจ่มใสสามารถสร้างภาพถ่ายสไตล์อาร์ต ๆ ได้มากกว่า แต่แสงจะแข็ง และไม่มีก้อนเมฆให้ภาพน่าสนใจ แต่เหมาะกับการถ่ายภาพแนวสถาปัตยกรรม โดยอาคารจะมีรูปแบบ รูปร่าง มุมและสีสันเป็น
องค์ประกอบหลักที่สำคัญที่สุดในการถ่ายภาพ ซึ่งแสงแดดแรงๆ ช่วยเน้นรูปร่าง รายละเอียด สีสันและ texture ของสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ได้
6. ท้องฟ้ามีเมฆมาก
ช่างภาพที่ชอบออกไปถ่ายภาพข้างนอกมักหลีกเลี่ยงวันที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก ซึ่งมีหลายเหตุผลเพราะวันที่มีเมฆมาก สภาพแสงจะแบนและดูไม่น่าสนใจ หรือไม่มี dramatic เลย แต่ก็จะมีการถ่ายภาพบางชนิดที่เหมาะกับวันเช่นนี้
วันที่ท้องฟ้ามีเมฆมากเหมาะกับการถ่าย Portrait ซึ่งท้องฟ้ามีเมฆมากจะทำหน้าที่เป็น soft box ขนาดใหญ่ ช่วยลดแสงจ้า
จริงๆ แล้วท้องฟ้าที่มีเมฆมากค่อนข้างไม่น่าสนใจ แต่เราก็สามารถใช้วันเหล่านี้ในการโฟกัสรายละเอียดเล็กน้อยมากกว่าถ่ายภาพ Landscape อันกว้างใหญ่ไพศาล ภาพด้านบน ถ่ายหยดน้ำบนใบไม้ ที่สวนแห่งหนึ่งในประเทศฝรั่งเศส
ภาพถ่ายขาวดำเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการถ่ายภาพวันที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก เพราะสามารถวัดแสงได้ง่าย ภาพด้านบนถ่ายให้เห็นท้องฟ้าเพียงนิดเดียว เพราะไม่มีรายละเอียดน่าสนใจ จึงต้องปักหลักรอประมาณ 45 นาทีเพื่อถ่ายภาพคนปั่นจักรยานบนสะพาน ดังนั้น ความอดทนก็เป็นสิ่งสำคัญ!!
การถ่ายภาพ street ก็เป็นทางเลือกที่ดีในวันที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก เพราะจะวัดแสงได้ง่าย ภาพคนปั่นจักรยานบนสะพานก่อนหน้านี้และภาพด้านบนมีการวัดแสงเพียงครั้งเดียวก่อนถ่ายภาพ ยกเว้นว่าแสงจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เราโฟกัสกับการหาวัตถุที่น่าสนใจ ภาพด้านบนถ่ายที่สะพานใน Venice
การถ่ายภาพสัตว์ป่าก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ควรพลาด
ช่างภาพที่ชอบถ่ายภาพสไตล์มินิมอลก็ควรลองถ่ายภาพในวันที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก จะเห็นว่าท้องฟ้าด้านบนขาดรายละเอียดที่น่าสนใจ คนที่ชมภาพจึงมักโฟกัสไปที่โคมไฟและโบสถ์ซึ่งอยู่ไกลออกไป
บทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ และได้ไอเดียถ่ายภาพในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ติดตามอ่าน สภาพแสงและสภาพอากาศแบบต่างๆ ในการถ่ายภาพ EP2
ที่มา